โลกแห่งการเทรดนั้นทั้งน่าตื่นเต้นและท้าทายด้วยตลาดการลงทุนที่หลากหลาย การสร้างกลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสมกับตลาดที่เราเลือกที่จะเข้าสู่นั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง แน่นอนว่าเส้นทางของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลายประการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับความสามารถในการเข้าใจมุมมองการซื้อขายพร้อมกับการใช้เครื่องมือทางการเงินในการวัดแนวโน้มของตลาด
การพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายจำเป็นต้องมีทั้งความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างหนัก ถึงกระนั้น แม้แผนการเทรดจะพร้อมใช้งาน แต่มักพบว่าเทรดเดอร์มือใหม่ยังยากที่จะปฏิบัติตามได้ ในบทความนี้ เราจะขอแบ่งปัน 10 ขั้นตอนสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ แทนที่อาจถูกหลอกจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “การร่ำรวยอย่างรวดเร็ว”
มาเริ่มกันเลย!
กลยุทธ์การซื้อขายเริ่มต้นด้วยการกำหนดมุมมองการซื้อขายหลักของคุณ อาจลองตั้งคำถามอย่างเช่น คุณชื่นชอบการซื้อขายประเภทใด? จะเป็นการเทรดระยะสั้น (scalping) การซื้อขายรายวัน (day-trading) หรือการลงทุนระยะยาวหรือไม่? ด้วยตัวเลือกเหล่านี้จะช่วยให้คุณกำหนดสินทรัพย์หรือตลาดที่เหมาะสมกับข้อกำหนดในการเทรดของคุณมากที่สุด
คำถามเหล่านี้ยังบ่งชี้ถึงสไตล์การเทรดของคุณเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น คุณกระตือรือร้นที่จะเปิดคำสั่งการซื้อขายระยะสั้นในสไตล์เทรดเดอร์เชิงรุกหรือไม่? หรือว่าคุณชอบสไตล์การซื้อขายที่ผ่อนคลายและเครียดน้อยลง?
เทรดเดอร์บางคนอาจกระตือรือร้นในการเลือกใช้กราฟแผนภูมิเพื่อการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ บางส่วนอาจพึ่งพาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคมากกว่า ซึ่งแนวคิดการกำหนดมุมมองของตลาดนี้จะทำให้คุณสามารถหาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเองได้
การเลือกตลาดเป็นการตัดสินใจที่สำคัญอีกหนึ่งขั้นตอนที่ผู้เริ่มต้นลงทุนจะต้องพิจารณา โดยการตัดสินใจครั้งนี้จะกำหนดสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์การซื้อขายในอนาคตของคุณ หากคุณไม่ต้องการมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ใดเพียงรายการเดียว คุณสามารถวางแผนการกระจายความเสี่ยงในตลาดการเงินหรือสินทรัพย์ประเภทอื่นๆได้
แม้ว่าการกระจายความเสี่ยงอาจเป็นหนึ่งในแนวคิดที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมือใหม่ก็ควรหลีกเลี่ยงพอร์ตการลงทุนที่มีความหลากหลายจนมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการเริ่มต้นการเทรด โดยอาจเลือกสินทรัพย์หลายประเภทในประเภทเดียวกัน (เช่น คู่สกุลเงินหรือโลหะที่แตกต่างกันในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์)
เทรดเดอร์มือใหม่จำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะทดลองในตลาดต่างๆก่อนที่จะค้นหาตลาดที่เหมาะสมที่สุด โดยส่วนใหญ่อาจจะต้องผ่านการลองผิดลองถูกตลอดจนการทดลองกลยุทธ์ย้อนหลังเพื่อให้แน่ใจว่าแนวทางที่เลือกนั้นเหมาะกับคุณมากที่สุด
ขั้นตอนต่อไปคือการตัดสินใจเกี่ยวกับช่วงเวลาของการทำธุรกรรม ขึ้นอยู่กับว่าคุณวางแผนที่จะเป็นเทรดเดอร์เต็มเวลาหรือใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเพื่อหารายได้พิเศษ ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใด สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาชั่วโมงการซื้อขายอย่างเป็นทางการที่อ้างอิงในแต่ละตลาด
เริ่มต้นด้วยการเทรด FX เนื่องจากสามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีข้อจำกัดและไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามตารางเวลาเฉพาะ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้เริ่มต้นการเทรดหลีกเลี่ยงการใช้เวลาในการสำรวจแผนภูมิในตลาดมากเกินไปตั้งแต่เริ่มต้น มิฉะนั้น กระบวนการนี้อาจทำให้คุณรู้สึกว่าน่ากังวลและซับซ้อนจนเกินไป โดยพยายามมีส่วนร่วมในตลาดการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไปแทน
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะกำหนดชุดเครื่องมือเพื่อวัดแนวโน้ม (trend) หากคุณสามารถมองเห็นแนวโน้ม คุณจะเข้าใจว่าตลาดหรือราคาเคลื่อนไหวอย่างไร ผู้ร่วมตลาดสามารถเลือกเครื่องมือได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาด ประเภทสินทรัพย์ และปัจจัยสำคัญอื่นๆ
บางคนอาจชื่นชอบการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่อาศัยแผนภูมิเป็นหลักที่คุณจะต้องทำงานกับรูปแบบต่างๆที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป ข่าวดีก็คือแผนภูมิทั่วไปส่วนใหญ่ได้รวมเข้ากับแพลตฟอร์ม MT4 แล้ว ซึ่งคุณอาจเลือกใช้เป็นซอฟต์แวร์หลักได้
นอกจากนี้ยังหมายความว่าคุณจะต้องเรียนรู้วิธีการระบุ อ่าน และการเทรดในรูปแบบต่างๆ นั่นอาจต้องใช้เวลาพอสมควร วิธีการนี้เหมาะสำหรับเดย์เทรดเดอร์ (day traders) และสินทรัพย์เฉพาะเป็นหลัก ในกรณีที่คุณวางแผนที่จะเปิดหลายตำแหน่งการซื้อขายในระยะเวลาสั้นๆ
ส่วนที่สองเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคต่างๆที่คุณจะต้องเรียนรู้ เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจถึงจุดแข็งที่เป็นไปได้ของภาคการตลาดหรือบริษัทเฉพาะเมื่อซื้อขายหุ้น เป็นต้น
เมื่อคุณตัดสินใจเกี่ยวกับตลาดและวิธีการที่คุณวางแผนจะเทรด คุณจะต้องพิจารณาสัญญาณเฉพาะที่ช่วยให้คุณสามารถกำหนดเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าและออกตลาด กล่าวง่ายๆ ก็คือ คุณจะรู้ว่าเมื่อใดคือเวลาที่ดีที่สุดในการเปิดหรือปิดตำแหน่งการซื้อขาย
สำหรับสัญญาณเข้าซื้อ โดยทั่วไปเทรดเดอร์จะระบุจุดโดยคำนึงถึงปัจจัยสำคัญหลายประการดังนี้:
ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญหากคุณวางแผนที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์
ในขั้นตอนนี้ เทรดเดอร์โดยทั่วไปมักจะเริ่มใช้วิธีการจัดการความเสี่ยง การวางคำสั่งหยุดการขาดทุน (stop loss) อาจเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการออกจากตลาดอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือการบริหารจัดการเงินประเภทหนึ่งที่ใช้เพื่อป้องกันผู้ลงทุนจากการสูญเสียเงินอีกด้วย
เป้าหมายหลักไม่ได้เป็นเพียงการวาง stop loss ไว้ในที่ที่คุณไม่ต้องการสูญเสียเงิน แต่เพื่อใช้วาง ณ จุดเฉพาะที่คุณคิดว่าตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลง กล่าวง่ายๆ ก็คือ เครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณออกจากตลาดโดยอัตโนมัติในช่วงราคาที่คุณไม่ต้องการเก็บตำแหน่งสินทรัพย์นั้นอีกต่อไป
เช่นเดียวกันกับ สัญญาณทำกำไร (take-profit) ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถปิดสถานะได้โดยไม่สูญเสียเงิน ในกรณีที่ตลาดมีความผันผวนอย่างกะทันหัน ทั้งสองสัญญาณนับว่าเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ
การจัดการความเสี่ยงถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียครั้งใหญ่และยังช่วยในการระบุปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ เนื่องจากการสูญเสียเงินทุนในตำแหน่งคำสั่งซื้อขายที่เปิดอยู่ (open position) อาจนำไปสู่ผลที่ตามมาที่ร้ายแรง วิธีการหนึ่งก็คือ การคำนวณความเสี่ยงก่อนเปิดตำแหน่งการซื้อขาย
หลักการคือ ห้ามซื้อขายเกิน 5% ของเงินทุนของคุณต่อการเทรด ผู้เชี่ยวชาญบางคนใช้อัตราที่ต่ำกว่านั้น (1% ของยอดคงเหลือเริ่มต้น) ไม่ว่าคุณจะเลือกอัตราส่วนใดก็ตาม อย่าละเลยในการคำนวณอัตราการควบคุมความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ (Reward to Risk Ratio) รวมไปถึง Hit Rate ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยสิ่งนี้จะสามารถช่วยปรับปรุงวิธีการจัดการความเสี่ยงของคุณได้
ข้อมูลเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่พยายามวิเคราะห์ตลาดอยู่เสมอ การมีบันทึกแนวทางการซื้อขายทั้งหมดของคุณจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างกลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จได้ เมื่อคุณมองย้อนกลับไปที่ประวัติคำสั่งซื้อขาย คุณจะสามารถเรียนรู้จากทั้งข้อผิดพลาดและการเทรดที่ประสบความสำเร็จ นำไปพัฒนาการตัดสินใจที่เหมาะสมต่อไปและยังช่วยปรับเทคนิคให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เฉพาะเจาะจงอีกด้วย
การเก็บบันทึกการซื้อขายจะช่วยให้คุณสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกัน
เมื่อมีการวางแผนแล้ว คุณอาจต้องการทดสอบกลยุทธ์ของคุณภายใต้สภาวะตลาดจริง ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้นำเสนอแนวทางการทดสอบหลากหลายประเภทโดยไม่ต้องลงทุนจริง ทำให้แทบจะไม่รู้สึกอะไรกับการสูญเสียเงินหากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นในการทดลองนี้
ประการแรก ผู้เริ่มต้นการเทรดสามารถเลือกใช้บัญชีทดลองที่จำลองสภาพตลาดจริงด้วยเครื่องมือและสินทรัพย์เดียวกันกับการซื้อขายเสมือนจริง ตัวเลือกที่สองคือ paper trading ซึ่งทำงานในลักษณะเดียวกันกับบัญชีทดลอง ยิ่งไปกว่านั้น แพลตฟอร์มการเทรด MT4 ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติการทดสอบกลยุทธ์เทรดย้อนหลัง (Backtesting) ซึ่งคุณสามารถรันกลยุทธ์การซื้อขายในโหมดทดสอบโดยพิจารณาจากประวัติการซื้อขายที่สร้างโดยซอฟต์แวร์
โปรโมชั่นทุกประเภทยังสามารถช่วยคุณตรวจสอบแนวทางการซื้อขายที่คุณเลือกได้ โดยที่คุณสามารถรับเงินฟรีผ่านแพ็คเกจโบนัสต้อนรับและโปรโมชั่นอื่นๆ ข้อเสนอเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์มีเงินเพียงพอในบัญชีของคุณโดยไม่ต้องลงทุนด้วยเงินจริง และสามารถใช้เงินโบนัสเพื่อทดลองใช้เทคนิคการซื้อขายในสภาวะตลาดจริงได้อีกด้วย
เทรดเดอร์จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายอย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นการที่จะประสบความสำเร็จในตลาดการเงินอาจเป็นไปได้ยาก หนึ่งในแนวคิดที่ดี คือ การลองใช้เทคนิคและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันพร้อมทั้งผสมผสานการใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อทำให้ประสบการณ์การซื้อขายของคุณมีความหลากหลายมากขึ้น
สภาพแวดล้อมการเทรดสมัยใหม่ยังมีเครื่องมือที่ทันสมัยหลายอย่างที่สามารถใช้ในการดำเนินกิจกรรมการซื้อขายได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีผู้ร่วมตลาดที่ใช้บอทในการเทรดและโซลูชันเทคโนโลยีอื่นๆ (เช่น การคัดลอกการซื้อขาย) เพื่อปรับปรุงวิธีการซื้อขายและลดความเสี่ยงในการล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่ยังใหม่ต่อตลาด
การพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องอาศัยความทุ่มเท ผู้เริ่มต้นการเทรดควรกำหนดมุมมองการซื้อขายและสินทรัพย์ที่ต้องการซื้อขายอย่างชัดเจน กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพควรรวมเข้ากับการบริหารความเสี่ยงและการจัดการเงินทุนขั้นพื้นฐานเพื่อควบคุมความเสี่ยงในการเทรด ตลอดจนเครื่องมือหรือวิธีในการทดสอบและตรวจสอบกลยุทธ์หรือเทคนิคการเทรดใหม่ๆโดยไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนจริง