EURUSD: แรงเทขายยังคงมีแนวโน้มเชิงบวก จับตามอง 21-EMA และสัญญาณการจ้างงานของสหรัฐฯ
คู่เงิน EURUSD ขาดแรงหนุนหลังจากฟื้นตัวในช่วงสั้นๆจากระดับแนวรับที่เส้น 21-EMA ขณะที่เทรดเดอร์กำลังจับตามองการรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯที่กำลังจะมาถึง รวมถึงตัวเลขการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก, ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงการจ้างงาน ADP และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ ISM ซึ่งบรรยากาศการซื้อขายที่มีความระมัดระวังนี้ยังส่งผลให้คู่เงินยูโรมีความยากลำบากในการปรับตัวสูงขึ้น
มีปัจจัยหลายอย่างที่ดึงดูดช่วงแนวโน้มขาลงคู่เงินยูโร
คู่เงิน EURUSD ติดอยู่ในกรอบการซื้อขายตลอดทั้งสัปดาห์ ประกอบกับ RSI (14) ไม่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี รูปแบบกราฟขาลงและสัญญาณขาลงของ MACD ทำให้แรงเทขายยังคงมีความหวัง อีกทั้ง ความเชื่อมั่นเชิงบวกที่เกี่ยวข้องกับการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งและความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในยูโรโซนยังหนุนมุมมองเชิงลบต่อคู่เงินยูโรอีกด้วย
ระดับทางเทคนิคสำคัญที่ควรจับตามอง
การดีดตัวขึ้นซ้ำๆของคู่เงิน EURUSD ที่ระดับแนวรับ 21-EMA ที่ราวๆ 1.1050 ยังเน้นย้ำระดับราคานี้ว่ายังเป็นเรื่องยากสำหรับแรงเทขายระยะสั้นที่จะเอาชนะอุปสรรคนี้ไปได้ หลังจากนั้น แนวต้านที่เปลี่ยนเป็นแนวรับอายุสามเดือนที่ประมาณ 1.0980 จะดึงดูดช่วงแนวโน้มขาลง หากราคายังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 1.0980 การปรับตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่เป้าหมายเชิงทฤษฎีของการยืนยันรูปแบบ rising wedge ที่บริเวณ 1.0700 จะไม่สามารถมองข้ามไปได้
ในขณะเดียวกัน แรงเทซื้อคู่เงิน EURUSD จำเป็นต้องได้รับการยืนยันจากระดับราคาที่ราวๆ 1.1080 เพื่อยึดครองตลาด แม้ว่าเส้นด้านล่างของรูปแบบ rising wedge ที่กล่าวถึงข้างต้นซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.1210 จะเป็นแนวต้านที่สำคัญสำหรับช่วงแนวโน้มขาขึ้น หลังจากนั้น การปรับตัวสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับสูงสุดประจำปีก่อนหน้าที่ราวๆ 1.1275 ดูเหมือนจะมีแนวโน้มมากขึ้น
อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป…..
ข้อมูลการจ้างงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯจำนวนมากจะเป็นข้อมูลสำคัญในปฏิทินเศรษฐกิจในวันพฤหัสบดีและส่งผลต่อการตัดสินใจของนักเทรดคู่เงิน EURUSD อย่างไรก็ตาม การที่ระดับราคาคู่เงินนี้ไม่ตอบสนองเชิงบวกต่อการอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐฯ ก็อาจทำให้แรงเทขายมีความได้เปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อมูลทางเศรษฐกิจสนับสนุนการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ และลดโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย
